วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559
การคัดแยกขยะมูลฝอย
| |||||||||||||||||||||
เติมสีสันเพื่อสุขภาพ
ผักผลไม้ 5 สี
ในผักผลไม้มีไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) ที่มีประโยชน์ และเป็นแหล่งที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระ การที่จะได้รับประโยชน์จากไฟโตนิวเทรียนท์ให้มากที่สุดควรเลือกกินผักผลไม้ที่มีสีสันแตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ
ผักผลไม้สีม่วง/น้ำเงิน
ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
ผักผลไม้สีขาว
กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ลดความดันโลหิตต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด
ผักผลไม้สีแดง
ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและความจำเสื่อม
ผักผลไม้สีส้ม/เหลือง
ช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการบำรุงสายตา
ผักผลไม้สีเขียว
ต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยการเจริญเติบโตของเซลล์ให้ทำงานตามปกติ
ที่มา : http://www.greenintrend.com/
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559
สับปะรดมีประโยชน์
สับปะรดดีต่อสุภาพสตรีและผู้ป่วย
สับปะรดนอกจากจะหวานอร่อยแล้ว สับปะรดยังดีต่อสุขภาพ ประโยชน์ของสับปะรดดีต่อสุขภาพ สตรีและผู้ป่วยอีกด้วย
สำหรับสุภาพสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน อาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร หรือผู้ป่วยอาการที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ หากรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆเหล่านี้ได้ รวมไปถึงสมานแผลให้ทุเลาได้เร็วขึ้นด้วย
วิธีรับประทานสับปะรดให้ถูกต้อง
สำหรับการรับประทานที่ถูกวิธีนะ ให้ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียงเป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้วยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และเอ็มไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทานคะ
ข้อแนะนำของสับปะรด
ถึงแม้ว่าสับปะรด จะเป็นผลไม้ที่เยี่ยมยอดเลยก็ว่าได้สำหรับเรา แต่หากรับประทานในปริมาณมากๆ อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ ควรรับประทานสับปะรด ควบคู่ไปกับการทานอาหาร และผักผลไม้อื่นๆด้วย อย่าลืมบอกต่อเคล็ดลับดีๆให้เพื่อนๆต่อได้นะ
สภาวะโลกร้อน
"ภาวะโลกร้อน"
ภาวะโลกร้อน
* ปัจจุบันโลกเราเกิดปัญหาจากธรรมชาติมายมายอาทิเช่น แผนดินไหว สึนามิ น้ำท่วม ดินถล่ม พายุถล่มและอีกปัญหาที่สำคัญคือภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นอย่างมาก
* ภาวะโลกร้อน คือ การที่ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือน กระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ว่า Green house effect ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่ง และ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน ( CFC) เข้าไปอีก ด้วย พร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลาย ป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวย ความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกใน การดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป จากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิ ภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆที่เราได้กระทำ ต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน
Cr.http://tech.mthai.com/tips-technic/40583.html
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
ซี่งปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจกก๊าาซเรือนกระจกที่สำคัญ 6 ชนิด ที่จะต้องลดการปล่อยได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2) ก๊าซมีเทน ( CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ( N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน ( HFCS) ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน ( CFCS) และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ ( SF6 )
ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
1. ผลกระทบด้านนิเวศวิทยา
แถบขั้วโลกได้รับผลกระทบมากสุดและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งจะละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลทางขั้วโลกเพิ่มขึ้น และไหลลงสู่ทั่วโลกทำให้เกิดน้ำท่วมได้ทุกทวีปนอกจากนี้จะพลอยทำให้สัตว์ทางทะเลเสียชีวิตเพราะระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง
Cr.http://globalwarming606.blogspot.com/p/blog-page_08.html
2. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
รัฐที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ของทวีปอเมริกาจะได้รับผลจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดกร่อนชายฝั่ง จะสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ แนวปะการังจะถูกทำลาย ปลาทะเลประสบปัญหา เนื่องจากระบบนิเวศที่แปรเปลี่ยนไป ธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญจะสูญเสียรายได้มหาศาล
3. ผลกระทบด้านสุขภาพ
* ภาวะโลกร้อนไม่เพียง ทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปแต่มีสิ่งซ่อนเร้นที่แอบแฝงมาพร้อม ปรากฏการณ์นี้ด้วยว่าโลกร้อนขึ้นจะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
จะป้องกันได้อย่างไร ได้มีผู้แนะนำวิธีการช่วยป้องกันสภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้
1. ลดระดับการใช้งานเครื่องใช้ ไฟฟ้าลง เช่น เพิ่มความร้อนของเครื่องปรับอากาศในสำนักงานหรือที่พักอาศัยลงสักหนึ่งองศา หรือ ปิดไฟขณะไม่ใช้ งาน
2. นำกระดาษหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ กลับไปใช้ใหม่ พยายามซื้อสิ่งของที่มีอายุ การใช้งานนานๆ จะช่วยลดการใช้พลังงานของโลกอย่างมากมาย
3. รักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุด และลดหรืองดการจัดซื้อสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ที่ทำจากไม้ที่ตัดเอามาจากป่า เพื่อปล่อยให้ต้นไม้และป่าไม้เหล่านี้ได้ทำหน้าที่การ เป็นปอดของโลกสืบไป
4. ลดการใช้น้ำมัน จากการขับขี่ยวดยานพาหนะ
4. ลดการใช้น้ำมัน จากการขับขี่ยวดยานพาหนะ
Cr.http://www.bcn.ac.th/web/2007/S_Product/rokron2.htm
Cr.http://www.thairath.co.th/content/295979
วิดิโอ ภาวะโลกร้อน
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=FXjt2aQg8g0
เขียนโดย Usthapong Phiraksa ที่ 21:17
ประโยน์เห็ดนางรม
เห็ดนางรม
เป็นเห็ดที่มีสีขาวสะอาด มีคุณค่าทางอาหารสูง รสชาติหอมหวาน มีสารที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค ไม่แพ้เห็ดชานิดอื่น ๆ มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะ โปรตีน คาร์โบร์ไฮเดรต วิตามิน ให้พลังงานค่อนข้างสูง
เห็ดนางรมมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางประเทศแถบยุโรป เจริญเติบโตได้ดีในไม้โอ๊ค ไม้เมเปิ้ล และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตอบอุ่นและสามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย เป็นเห็ดที่มีสีขาวสะอาด มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีรสชาติหอมหวาน มีสารที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคไม่แพ้เห็ดชนิดอื่น ๆ มีคุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะโปรตีน คาร์โบร์ไฮเดรต วิตามิน ให้พลังงานค่อนข้างสูง มีกรดโฟลิคสูงกว่าพืชผักและเนื้อสัตว์ ซึ่งป้องกันโรคโลหิตจาง ได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และเหมาะต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะเห็ดมีปริมาณของไขมันน้อย และมีปริมาณโซเดียมตำ่
กินวิตามินมากๆ ดีจริงหรอ
กินวิตามินมากๆ ดีจริงหรอ
นอกจากการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว หลายคนมักเลือกการทานวิตามินเป็นอาหารเสริม ซึ่งการทานวิตามินกำลังกลายเป็นเทรนด์ฮิตทั้งในไทยและต่างประเทศ มีทั้งวิตามินช่วยเสริมเรื่องสุขภาพให้แข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ไขมัน ความดัน ฯลฯ ไปจนถึงวิตามินประเภทที่ช่วยในเรื่องของความงามต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่าการทานวิตามินมากเกินไปนอกจากจะเปลืองเงิน และไม่ได้ช่วยให้คุณสุขภาพดีแล้ว ยังสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้อีกด้วย
สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษตีแผ่วัฒนธรรมการกินวิตามินพร่ำเพรื่อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเปิดเผยผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่พบว่าการกินวิตามินเอเบตาแคโรทีน และวิตามินอี รวมถึงสารแอนติออกซิแดนท์ต่างๆ มากเกินไปในระยะเวลานานๆ นอกจากจะไม่ได้ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงและป้องกันโรคแล้ว ยังส่งผลให้เกิดโรคหลายอย่างตามมา
วิตามินเอที่มากเกินไป หรือเกิน 3,000 ไมโครกรัมต่อวันในผู้ใหญ่ เคยทำให้คนตายมาแล้ว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เคยมีนักสำรวจ ขั้วโลกที่เสียชีวิตจากการกินตับสุนัขลากเลื่อนทำให้มีการค้นพบว่าตับสุนัขมีวิตามินเอสูงมาก และการกินตับสุนัข 100 กรัมก็สามารถฆ่าคนได้ หรือถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปแต่ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง ปากแห้ง ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นชั้นๆ ได้ และสำหรับนักสูบบุหรี่ วิตามินเอก็ทำให้คุณเป็นมะเร็งปอดได้ง่ายขึ้น ส่วนซิงก์ที่ หนุ่มสาวชอบกินเพื่อแก้อาการผมร่วง หรือช่วยรักษาสิว หากกินมากเกินไปคือตั้งแต่ 100-150 มิลลิกรัม และกินติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง และถ้ากินมากถึง 200 มิลลิกรัมขึ้นไป อาจทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียและเป็นโรคโลหิตจางได้
วิตามินรวมหลายๆ ชนิดแบบเบ็ดเสร็จในเม็ดเดียว ที่มักมาในรูปแบบของวิตามินบำรุงผม บำรุงสมอง หรือบำรุงสายตา ก็อันตรายมากเช่นเดียวกันเพราะนอกจากจะไม่สามารถคำนวณได้ว่ากินวิตามินอะไรเข้าไปเท่าไหร่ และที่กินเข้าไปนั้นมากเกินขนาดหรือไม่ วิตามินหลายชนิดยังขัดขวางการดูดซึมของกันและกัน เช่นแคลเซียมจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กขัดขวางการดูดซึมทองแดง ทำให้การโด๊ปวิตามินตัวหนึ่ง อาจทำให้คุณขาดวิตามินอีกชนิดได้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าวิตามินเป็นสิ่งไม่ดีหรือไม่จำเป็น แต่ควรรับประทานเท่าที่จำเป็นหรือเท่าที่แพทย์แนะนำ อาทิ ผู้ที่ควรได้รับวิตามินเสริม คือหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องได้รับโฟลิกและวิตามินดีเพิ่ม คนอายุ 65 ปี และเด็กวัย 6 เดือน ถึง 5 ปี และคนที่ไม่ค่อยได้โดนแดด ควรได้รับวิตามินดี และสุดท้ายเด็ก 6 เดือน ถึง 5 ปี ทุกคนควรได้รับวิตามินเอ ซี และดีเสริม โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถกินอาหารที่หลากหลายได้
ที่มา : sanook.com
อาหารอาเซียน
อาหารประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ
อาหารประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งในปี 2015 หรือ พ.ศ. 2558 นี้ ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะรวมเป็นหนึ่งโดยเรียกสั้นๆ ว่ากลุ่มอาเซียน เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ อาหารอาเซียน 10 ประเทศ ของแต่ละประเทศว่าในเพื่อนบ้านของเรานั้นมีอาหารอะไรกันบ้าง เรามาเริ่มที่ประเทศไทยของเราก่อนเลยค่ะ
Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเวียดนาม แผ่นเปาะเปี๊ยะทำจากแผ่นแป้งที่ทำจากข้าวเจ้า โดยไส้เปาะเปี๊ยะอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง ห่อรวมกับผักต่าง ๆ นับเป็นอาหารยอดนิยมที่สามารถรับประทานได้ทั่วไปในเวียดนาม
ซุบไก่ (Chicken Soup) เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศลาว มีส่วนผสมในการประกอบอาหาร คือ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม และหอมแดง ทั้งนี้ อาหารลาวโดยส่วนใหญ่มักจะมีผักและสมุนไพรเป็นส่วนผสมในการปรุง
อาม็อก (Amok) มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย ทำจากปลา น้ำพริก เครื่องแกงและกะทิ อาม็อก เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของกัมพูชา
นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย เป็นข้าวผัดกับกะทิและสมุนไพร นาซิ เลอมัก เสิร์ฟพร้อมกับปลากะตักทอด แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุกและถั่วอบ นาซิ เลอมัก แบบดั้งเดิม จะห่อในใบตองและรับประทานเป็นอาหารเช้า
หล่าเพ็ด (Lahpet) อาหารประจำชาติของพม่าที่มีลักษณะคล้ายกับยำเมี่ยงของไทย โดยรับประทานกับเครื่องเคียง เช่น ใบชาหมัก กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เป็นต้น
อโดโบ้ (Adobo) อาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากภาคเหนือของฟิลิปปินส์และเป็นที่นิยมของนัก เดินทางหรือนักเดินเขา อโดโบ้ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไป ทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบหรือทอด และรับประทานกับข้าว
ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ) มีลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย โดยเส้นก๋วยเตี๋ยวจะมีลักษณะคล้าย vermicelli ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นสปาเกตตีของอิตาลี
กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียคล้ายกับสลัดแขก ซึ่งจะประกอบด้วยถั่วเขียว มันฝรั่ง ถั่วงอก เต้าหู้ ไข่ต้มสุก กะหล่ำปลี ข้าวเกรียบกุ้ง รับประทานกับซอสถั่วที่มีลักษณะเหมือนซอสสะเต๊ะ
อัมบูยัต (Ambuyat) จัดเป็นอาหารประจำชาติ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม มีลักษณะคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก มีส่วนผสมของแป้งสาคูเป็นหลัก โดยทั่วไปอัมบูยัต คือ อาหารที่รับประทานแทนข้าว โดยจะมีอาหารจานหลักและเครื่องเคียงอย่างน้อย 3 อย่าง วางอยู่โดยรอบ
เรียบเรียงโดย http://รวมสูตรอาหาร.blogspot.com/
ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
ประเทศไทย (Thailand) : ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)
ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong) เป็นอาหารที่โด่งดังมากที่สุดของประเทศไทย ชาวต่างชาติจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำชนิดอื่น ๆ การปรุงต้มยำกุ้งจะเน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก จะออกเค็มและหวานเล็กน้อย มีเครื่องเทศที่ใส่ในน้ำแกงที่สำคัญคือ ใบมะกรูด ตะไคร้ ส่วนผักที่นิยมใส่ในต้มยำ ได้แก่ มะเขือเทศ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า ใบผักชี ส่วนเครื่องปรุงที่จำเป็นต้องใส่ คือ มะนาว น้ำปลา น้ำตาล และน้ำพริกเผา
เวียดนาม (Vietnam) : Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม
Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเวียดนาม แผ่นเปาะเปี๊ยะทำจากแผ่นแป้งที่ทำจากข้าวเจ้า โดยไส้เปาะเปี๊ยะอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง ห่อรวมกับผักต่าง ๆ นับเป็นอาหารยอดนิยมที่สามารถรับประทานได้ทั่วไปในเวียดนาม
ลาว (Loas) : ซุบไก่ (Chicken Soup)
ซุบไก่ (Chicken Soup) เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศลาว มีส่วนผสมในการประกอบอาหาร คือ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม และหอมแดง ทั้งนี้ อาหารลาวโดยส่วนใหญ่มักจะมีผักและสมุนไพรเป็นส่วนผสมในการปรุง
กัมพูชา (Cambodia) : อาม็อก (Amok)
อาม็อก (Amok) มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย ทำจากปลา น้ำพริก เครื่องแกงและกะทิ อาม็อก เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของกัมพูชา
มาเลเซีย (Malaysia) : นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak)
นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย เป็นข้าวผัดกับกะทิและสมุนไพร นาซิ เลอมัก เสิร์ฟพร้อมกับปลากะตักทอด แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุกและถั่วอบ นาซิ เลอมัก แบบดั้งเดิม จะห่อในใบตองและรับประทานเป็นอาหารเช้า
พม่า (Myanmar) : หล่าเพ็ด (Lahpet)
หล่าเพ็ด (Lahpet) อาหารประจำชาติของพม่าที่มีลักษณะคล้ายกับยำเมี่ยงของไทย โดยรับประทานกับเครื่องเคียง เช่น ใบชาหมัก กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เป็นต้น
ฟิลิปปินส์ (Philippines) : อโดโบ้ (Adobo)
อโดโบ้ (Adobo) อาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากภาคเหนือของฟิลิปปินส์และเป็นที่นิยมของนัก เดินทางหรือนักเดินเขา อโดโบ้ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไป ทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบหรือทอด และรับประทานกับข้าว
สิงคโปร์ (Singapore) : ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ)
ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ) มีลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย โดยเส้นก๋วยเตี๋ยวจะมีลักษณะคล้าย vermicelli ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นสปาเกตตีของอิตาลี
อินโดนีเซีย (Indonesia) : กาโด กาโด (Gado Gado)
กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียคล้ายกับสลัดแขก ซึ่งจะประกอบด้วยถั่วเขียว มันฝรั่ง ถั่วงอก เต้าหู้ ไข่ต้มสุก กะหล่ำปลี ข้าวเกรียบกุ้ง รับประทานกับซอสถั่วที่มีลักษณะเหมือนซอสสะเต๊ะ
บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : อัมบูยัต (Ambuyat)
อัมบูยัต (Ambuyat) จัดเป็นอาหารประจำชาติ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม มีลักษณะคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก มีส่วนผสมของแป้งสาคูเป็นหลัก โดยทั่วไปอัมบูยัต คือ อาหารที่รับประทานแทนข้าว โดยจะมีอาหารจานหลักและเครื่องเคียงอย่างน้อย 3 อย่าง วางอยู่โดยรอบ
เรียบเรียงโดย http://รวมสูตรอาหาร.blogspot.com/
ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
สมาชิกAEC
1. ประเทศบรูไน (Brunei)
ประเทศบรูไนเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศที่ 6 เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 ภายหลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ
ประเทศบรูไนเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศที่ 6 เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 ภายหลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ
ข้อมูลทั่วไปของประเทศบรูไน
- ชื่อภาษาไทย : เนการาบรูไนดารุสซาลาม
- ชื่อภาษาอังกฤษ : Negara Brunei Darussalam
- ที่ตั้ง : ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
- เมืองหลวง : กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan)
- ภาษาราชการ : ภาษามาเลย์ (Malay)
- สกุลเงิน : ดอลล่าร์บรูไน (Brunei dollar, BND)
- พื้นที่ : 2,226 ตารางไมล์ (5,765 ตารางกิโลเมตร)
- จำนวนประชากร : 415,717 คน
- การปกครอง : ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
- Time Zone : UTC+8 (เร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง)
- GDP : 21,907 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- รายได้ต่อหัวประชากร : 50,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- รหัสโทรศัพท์ (IDC) : +673
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)